หลักในการเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า |
การประหยัดไฟฟ้า
ต้องเริ่มจากการพิจารณาเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างมีหลักเกณฑ์
ซึ่งข้อแนะนำต่อไปนี้จะเป็นเครื่องช่วยประเมินคุณค่าของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จะซื้อ
ก่อนตัดสินใจควรพิจารณาดังนี้ 1. ควรทราบว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่พบเห็นนั้น
กินไฟมากน้อยเพียงไร 2. มีความเหมาะสมในการใช้งานหรือไม่ 3. สะดวกในการใช้สอย
คงทน ปลอดภัยหรือไม่ 4. ภาระการติดตั้ง และค่าบำรุงรักษา 5. พิจารณาคุณภาพ
ค่าใช้จ่าย อายุใช้งาน มาประเมินออกมาเป็นตัวเงินด้วย
|
ปริมาณการกินไฟ (กำลังไฟฟ้า) ของเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทต่าง
ๆ
|
เครื่องใช้ไฟฟ้า |
กำลังไฟฟ้า (วัตต์) |
พัดลมตั้งพื้น |
20 -
75 |
พัดลมเพดาน |
70 -
100 |
โทรทัศน์ขาว-ดำ |
28 -
150 |
โทรทัศน์สี |
80 -
180 |
เครื่องเล่นวิดีโอ |
25 -
50 |
ตู้เย็น 7-10
คิว |
70 -
145 |
หม้อหุงข้าว |
450 -
1,500 |
เตาหุงต้มไฟฟ้า |
200 -
1,500 |
หม้อชงกาแฟ |
200
-600 |
เตาไมโครเวฟ |
100 -
1,000 |
เครื่องปิ้งขนมปัง |
800 -
1,000 |
เครื่องทำน้ำอุ่น/ร้อน |
2,500 -
12,000 |
เครื่องเป่าผม |
400 - 1,000 |
เตารีดไฟฟ้า |
750 - 2,000 |
เครื่องซักผ้าแบบมีเครื่องอบผ้า |
3,000 |
เครื่องปรับอากาศ |
1,200 -
3,300 |
เครื่องดูดฝุ่น |
750 -
1,200 |
มอเตอร์จักรเย็บผ้า |
40 -
90 |
|
ให้แสงสว่าง เท่ากับหลอดไส้ |
|
9
W |
|
40
W |
13
W |
60
W |
18
W |
75
W |
25
W |
100
W |
หลอดคอมแพคบัลลาสต์ภายใน |
3.2
หลอดคอมแพคบัลลาสต์ภายนอก หลักการใช้งานเช่นเดียวกับหลอดคอมแพคบัลลาสต์ภายใน
แต่หลอดคอมแพคบัลลาสต์ภายนอกสามารถเปลี่ยนหลอดได้ง่ายเมื่อหลอดชำรุด ตัวหลอดมีลักษณะงอโค้งเป็นรูปตัวยู
(U) ภายในขั้วของหลอดจะมีสตาร์ทเตอร์อยู่ภายใน และมีบัลลาสต์อยู่ภายนอกมีหลายขนาด
คือ
|
|
ให้แสงสว่าง เท่ากับหลอดใส้ |
|
5
W |
|
25
W |
7 W
|
40
W |
9
W |
60
W |
11W |
75
W |
หลอดคอมแพคบัลลาสต์ภายนอก |
ข้อควรปฏิบัติเพื่อการประหยัดไฟฟ้าแสงสว่าง
มีดังนี้ |
1.ปิดสวิตซ์ไฟ เมื่อไม่ใช้งาน 2.ในบริเวณที่ไม่จำเป็นต้องใช้แสงสว่างมากนัก เช่น เฉลียง ทางเดิน
ห้องน้ำ ควรใช้หลอดที่มีวัตต์ต่ำ โดยอาจใช้หลอดคอมแพคบัลลาสต์ภายใน
เนื่องจากมีประสิทธิภาพการให้แสง ลูเมน/วัตต์ (Im/W) สูงกว่าหลอดไส้
และดีกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ขนาดไม่เกิน 18 W ด้วย สำหรับบริเวณที่ต้องการแสงสว่างปกตินั้น หลอดผอมขนาด 36 W
จะมีประสิทธิภาพการให้แสง (ลูเมน/วัตต์) สูงกว่าหลอดคอมแพคบัลลาสต์ภายในทั่วๆ
ไปไม่ต่ำกว่า 10%
และยิ่งจะมีประสิทธิภาพการให้แสงมากขึ้นถ้าเป็นหลอดผอมชนิดซุปเปอร์และใช้บัลลาสต์ประหยัดไฟร่วมด้วย
ดังนั้นจำนวนหลอดไฟที่ใช้และการกินไฟของหลอดผอมก็จะน้อยกว่าหลอดประหยัดไฟ 3.หมั่นทำความสะอาด ขั้วหลอด และตัวหลอดไฟ รวมทั้งโคมไฟและโป๊ะไฟต่าง
ๆ 4.ผนังห้องหรือเฟอร์นิเจอร์อย่าใช้สีคล้ำ ๆ ทึบ ๆ
เพราะสีพวกนี้จะดูดแสง ทำให้ห้องดูมืดกว่าห้องที่ทาสีอ่อน ๆ เช่น สีขาว
หรือสีขาวนวล 5.เลือกใช้โคมไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงซึ่งมีแผ่นสะท้อนแสงทำด้วยอะลูมิเนียมเคลือบโลหะเงิน
จะสามารถลดจำนวนหลอดไฟลงได้ โดยแสงสว่างยังคงเท่าเดิม 6.เลือกใช้ไฟตั้งโต๊ะ ในบริเวณที่ต้องการแสงสว่างเฉพาะแห่ง เช่น
อ่านหนังสือ 7.ให้ใช้บัลลาสต์ประหยัดไฟฟ้าควบคู่กับหลอดฟลูออเรสเซนต์
โดยบัลลาสต์ประหยัดไฟ มี 2 แบบ คือ 7.1 แบบแกนเหล็กประหยัดไฟฟ้า (LOW
LOSS MAGNETIC BALLAST) 7.2 แบบอิเล็กทรอนิกส์ ( ELECTRONIC
BALLAST) 8.
ในการเลือกซื้อหลอดไฟ โดยเฉพาะหลอดฟลูออเรสเซนต์นั้น ให้สังเกตปริมาณการส่องสว่าง
(ลูเมน หรือ Im) ที่กล่องด้วย เนื่องจากในแต่ละรุ่นจะมีค่าลูเมนไม่เท่ากัน
ส่งผลให้มีราคาแตกต่างกัน เช่น หลอดผอม 36 หรือ 40 วัตต์จะให้แสงประมาณ 2,000-2,600
ลูเมน หลอดชนิดซุปเปอร์จะให้แสง 3,300 ลูเมน หลอดประหยัดไฟขนาด 11 วัตต์
(หลอดคอมแพคขนาด 11 วัตต์ หรือหลอดตะเกียบ) จะให้แสงประมาณ 500-600 ลูเมน เป็นต้น
นอกจากนี้จะต้องคำนึงถึงการกินไฟภายในบัลลาสต์ด้วย
ซึ่งบัลลาสต์แกนเหล็กธรรมดาจะกินไฟมาก ส่วนบัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์จะกินไฟน้อยมาก
|
ประโยชน์ของบัลลาสต์ประหยัดไฟฟ้า |
- บัลลาสต์ธรรมดากินไฟ ประมาณ 10-12 วัตต์ บัลลาสต์ประหยัดไฟกินไฟประมาณ 3-6
วัตต์ - บัลลาสต์ธรรมดามีประสิทธิผลการส่องสว่าง 95110%
บัลลาสต์ประหยัดไฟมีค่าประสิทธิผลการส่องสว่าง 95150% -
การใช้บัลลาสต์ประหยัดไฟช่วยให้เกิดความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น
เนื่องจากมีอุณหภูมิขณะทำงานไม่เกิน 75 องศาเซลเซียส ในขณะที่บัลลาสต์ธรรมดามีความร้อนจากขดลวดและแกนเหล็กถึง 110 120
องศาเซลเซียส - บัลลาสต์ประหยัดไฟมีอายุการใช้งานมากกว่าแบบธรรมดา 1 เท่าตัว
แม้ราคาจะสูงกว่าบัลลาสต์แบบธรรมดา |
คำแนะนำด้านความปลอดภัยในการใช้ไฟฟ้าแสงสว่าง |
|
|
|
|
ตู้เย็น |
การซื้อตู้เย็นนอกจากจะต้องคำนึงถึงราคาแล้ว
ควรจะพิจารณาถึงลักษณะและระบบของตู้เย็น เพื่อประหยัดพลังงาน
ดังต่อไปนี้ 1
ควรเลือกซื้อตู้เย็นที่มีสลากประหยัดไฟโดยเป็นสติกเกอร์ติดอยู่ที่ตู้เย็น
ซึ่งสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ) เป็นผู้ตรวจสอบและรับรองคุณภาพ
โดยกำหนดเป็นตัวเลขดังนี้ |
|
|
|
|
|
|
เลข 5
ดีมาก |
หมายถึง |
ประสิทธิภาพสูงสุด |
|
เลข 4
ดี |
หมายถึง |
ประสิทธิภาพสูง |
|
เลข 3
ปานกลาง |
หมายถึง |
ประสิทธิภาพปานกลาง |
|
เลข 2
พอใช้ |
หมายถึง |
ประสิทธิภาพพอใช้ |
|
เลข 1
ต่ำ |
หมายถึง |
ประสิทธิภาพต่ำ |
|
|
|
|
2 ควรพิจารณาขนาดให้เหมาะสมกับขนาดครอบครัว ขนาดประมาณ 2.5 ลูกบาศก์ฟุต
(คิว) สำหรับสมาชิก 2 คนแรกของครอบครัว แล้วเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1 ลูกบาศก์ฟุต ต่อ 1
คน 3
ควรเลือกตู้เย็นที่มีฉนวนกันความร้อนหนา และเป็นชนิดโฟมอัด
เพื่อไม่ให้มีการสูญเสียความเย็นมาก 4 ตู้เย็น 2
ประตูกินไฟมากกว่าตู้เย็นประตูเดียวที่มีขนาดความจุเท่ากัน
เนื่องจากใช้ท่อน้ำยาเย็นที่ยาวกว่า แต่ตู้เย็น 2 ประตู จะมีการสูญเสียความเย็นน้อยกว่า 5
ตู้เย็นชนิดที่ไม่น้ำเข็งจับจะกินไฟมากกว่าชนิดที่มีปุ่มกดละลายน้ำแข็ง 6
ควรเลือกซื้อตู้เย็นที่ใช้กับระบบไฟฟ้า 220-230 โวลต์ เท่านั้น ถ้าใช้ชนิด 110-120
โวลต์จะต้องใช้หม้อแปลงลดแรงดัน ทำให้กินไฟมากขึ้น |
|
วิธีใช้ตู้เย็นให้ประหยัดพลังงาน |
1.ก่อนใช้ควรศึกษาคู่มือการใช้และปฏิบัติตามคำแนะนำ 2.ตั้งไว้ในที่เหมาะสม ควรตั้งตู้เย็นให้ห่างจากผนังอย่างน้อย 15
เซนติเมตร 3.อย่าตั้งใกล้แหล่งความร้อน ไม่ควรตั้งอยู่ใกล้เตาไฟ หรือแหล่งความร้อนอื่น
และไม่ควรให้โดนแสงแดด 4.ปรับระดับให้เหมาะสมเวลาตั้งตู้เย็นให้ปรับระดับด้านหน้าของตู้เย็นสูงกว่าด้านหลังเล็กน้อย
เพื่อเวลาปิดน้ำหนักของประตูตู้เย็นจะถ่วงให้ประตูปิดเข้าไปเอง 5. หมั่นตรวจสอบยางขอบประตู
ไม่ให้มีรอยรั่วหรือเสื่อมสภาพ 6. อย่าเปิดตู้เย็นบ่อย ๆ
เมื่อเปิดแล้วก็ต้องรีบปิด 7. ละลายน้ำแข็งสม่ำเสมอ
เพื่อให้การทำความเย็นมีประสิทธิภาพสูง 8.
ตั้งสวิตซ์ควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมกับชนิดและปริมาณอาหารที่แช่ตู้เย็น 9. ถอดปลั๊ก
กรณีไม่อยู่บ้านหลายวันหรือไม่มีอะไรในตู้เย็น |
เครื่องปรับอากาศ |
1
ควรเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศที่มีสลากประหยัดไฟ
โดยเป็นสติกเกอร์ติดอยู่ที่เครื่องปรับอากาศ
ซึ่งสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เป็นผู้ตรวจสอบและรับรองคุณภาพ
โดยกำหนดเป็นตัวเลขดังนี้ |
|
|
|
|
|
|
เลข
5 ดีมาก |
หมายถึง |
ประสิทธิภาพสูงสุด |
|
เลฃ
4 ดี |
หมายถึง |
ประสิทธิภาพสูง |
|
เลข
3 ปานกลาง |
หมายถึง |
ประสิทธิภาพปานกลาง |
|
เลข
2 พอใช้ |
หมายถึง |
ประสิทธิภาพพอใช้ |
|
เลข
1 ต่ำ |
หมายถึง |
ประสิทธิภาพต่ำ |
|
|
|
|
2
ควรเลือกขนาดของเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมกับห้องที่ต้องการติดตั้ง
โดยที่ความสูงของห้องไม่เกิน 3 เมตร
ควรเลือกขนาดตามตารางต่อไปนี้ |
พื้นที่ห้องตามความสูงไม่เกิน 3 ม. (ตร.ม.)
|
ขนาดของเครื่องปรับอากาศ (บีทียู/ชั่วโมง)
|
13
- 14 |
7,000 - 9,000 |
16
- 17 |
9,000 - 12,000 |
20 |
11,000 - 13,000 |
23
- 24 |
13,000 - 16,000 |
30 |
18,000 - 20,000 |
40 |
24,000 |
3. ชนิดของเครื่องปรับอากาศที่นิยมใช้ในบ้านอยู่อาศัย
ในปัจจุบันมีจำหน่ายในท้องตลาด 3 ชนิด คือ 3.1ชนิดติดหน้าต่าง
จะเหมาะสมกับห้องที่มีลักษณะที่ติดตั้งวงกบหน้าต่าง ติดกระจกช่องแสงติดตาย บานกระทุ้ง บานเกล็ด เป็นต้น มีขนาดตั้งแต่
9,000 24,000 บีทียู/ชม. มีค่าประสิทธิภาพ (EER=บีทียูต่อชั่วโมง/วัตต์) ตั้งแต่
7.5 10 บีทียู/ชม./วัตต์ 3.2 ชนิดแยกส่วนติดฝาผนังหรือแขวน
เหมาะสมกับห้องที่มีลักษณะทึบจะติดตั้งได้สวยงาม
แต่จะมีราคแพงกว่าเมื่อเปรียบเทียบเครื่องปรับอากาศชนิดต่าง ๆ ที่มีขนาดเท่ากัน
(บีทียู/ชม.) เครื่องปรับอากาศชนิดนี้ส่วนใหญ่จะมีประสิทธิภาพสูงกว่า
และจะมีสวิตซ์ควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติแบบอิเลกคทรอนิกส์สำหรับควบคุมอุณหภูมิความเย็นของห้อง
มีขนาดตั้งแต่ 8,000
24,000 บีทียู/ชม. ค่า EER ตั้งแต่ 7.5 13 บีทียู/ชม./วัตต์ 3.3
เครื่องปรับอากาศชนิดแยกส่วนตั้งพื้น
จะเหมาะสมกับห้องที่มีลักษณะห้องที่เป็นกระจกทั้งหมด
ผนังทึบซึ่งไม่อาจเจาะ
ช่องเพื่อติดตั้งได้
เมื่อเปรียบเทียบเครื่องปรับอากาศชนิดต่าง ๆ ที่มีขนาดเท่ากัน
เครื่องปรับอากาศชนิดนี้ส่วนใหญ่จะมีประสิทธิภาพต่ำกว่า มีขนาดตั้งแต่ 12,000 36,000 บีทียู/ชม. มีค่า EER
ตั้งแต่ 6 11 บีทียู/ชม./วัตต์ |
วิธีใช้เครื่องปรับอากาศให้ประหยัดพลังงาน
|
1.ติดตั้งในที่เหมาะสม คือต้องสูงจากพื้นพอสมควร สามารถเปิด-ปิดปุ่มต่าง ๆ
ได้สะดวก
และเพื่อให้ความเย็นเป่าออกจากเครื่องได้หมุนเวียนภายในห้องอย่างทั่วถึง 2.อย่าให้ความเย็นรั่วไหล
ควรจะปิดประตูหรือหน้าต่างห้องให้มิดชิด 3.ปรับปุ่มต่าง ๆ
ให้เหมาะสมเมื่อเริ่มเปิดเครื่องควรตั้งความเร็วพัดลมไปที่ตำแหน่งสูงสุด
เมื่อความเย็นพอเหมาะแล้วให้ตั้งไปที่อุณหภูมิ 26 องศาเซลเซียส 4.หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศ อุปกรณ์ในระบบปรับอากาศ และตะแกรง
รวมทั้งชุดคอมเดนเซอร
์เพื่อให้อากาศผ่านเข้าออกได้สะดวกจะประหยัดไฟโดยตรง 5.ใช้พัดลมระบายอากาศเท่าที่จำเป็น 6.ควรปิดเครื่องปรับอากาศเมื่อไม่มีความจำเป็นต้องใช้ 7.ในฤดูหนาวขณะที่อากาศไม่ร้อนมากเกินไป
ไม่ควรเปิดเครื่องปรับอากาศ 8.หมั่นตรวจสอบ ล้าง ทำความสะอาดตามระยะเวลาที่ผู้ผลิตกำหนด 9.หน้าต่างหรือบานกระจกควรป้องกันรังสีความร้อนที่จะเข้ามาดังนี้ -
ใช้อุปกรณ์บังแดดภายนอกมิให้กระจกถูกแสงแดด เช่น ผ้าใบ หรือแผงบังแดด
หรือร่มเงาจากต้นไม้ - ใช้กระจกหรือติดฟิล์มที่สะท้อนรังสีความร้อน -
ใช้อุปกรณ์บังแดดภายใน เช่น ผ้าม่าน มู่ลี่ (กระจกด้านทิศใต้ให้ใช้ใบอยู่ในแนวนอน
กระจกทิศตะวันออก-ตกให้ใช้ใบที่อยู่ในแนวดิ่ง) 10.ผนังหรือเพดานโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านที่มีแสงแดดส่องจะเก็บความร้อนไว้มาก
ทำให้มีการสูญเสียพลังงานมาก จึงควรป้องกันดังนี้ -
บุด้วยฉนวนกันความร้อนหรือแผ่นฟิล์มอะลูมิเนียมสะท้อนรังสีความร้อน -
ทำที่บังแดด/หลังคา/ปลูกต้นไม้ด้านนอก 11.พยายามอย่าใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อนในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ
ไฟส่องสว่างก็เป็นตัวให้ความร้อน จึงควรปิดไฟเมื่อไม่มีความจำเป็น 12.ชุดคอนเดนเซอร์ที่ใช้ระบายความร้อนสู่ภายนอก -
ควรถูกแสงแดดให้น้อยที่สุด - ขจัดสิ่งกีดขวางทางลมให้ระบายอากาศได้สะดวก -
อย่าติดตั้งให้ปะทะกับลมธรรมชาติโดยตรง |
เตารีดไฟฟ้า |
วิธีใช้เตารีดไฟฟ้าให้ประหยัดพลังงาน |
|
1.ควรรีดผ้าคราวละมากๆ ติดต่อกันจนเสร็จ และควรเริ่มรีดผ้าบางๆ ก่อนในขณะที่เตารีดยังไม่ร้อน และก่อนรีดเสร็จประมาณ 2-3 นาทีให้ถอดปลั๊กออก 2.เมื่อไม่ได้ใช้งานควรถอดปลั๊กออก
และก่อนจะเก็บควรทิ้งให้เตารีดเย็นก่อน
|
|
|
คำแนะนำด้านความปลอดภัยของเตารีด |
|
|
|
หม้อหุงข้าว |
ควรเลือกขนาดให้พอเหมาะกับการใช้งานและมีข้อแนะนำดังนี้ |
จำนวนคนที่รับประทาน (คน) |
ขนาดหม้อหุงข้าวที่ควรใช้ (ลิตร) |
กินไฟประมาณ
(วัตต์) |
1 -
3 |
1 |
450 |
4 -
5 |
1.5 |
550 |
6 -
8 |
2 |
600 |
8 -
10 |
2.8 |
1,000 |
10 -
12 |
3 |
1,350 |
เครื่องดูดฝุ่น |
วิธีใช้เครื่อดูดฝุ่นให้ประหยัดพลังงานและปลอดภัย |
|
1. เมื่อใช้แล้วควรเอาฝุ่นผงในถุงทิ้งทุกครั้งเพื่อเครื่องจะได้มีแรงดูดดี
และไม่กินไฟ 2. ซื้อเฉพาะประเภทที่มีสายดินพร้อมมากับปลั๊กไฟ
และติดตั้งระบบสายดินที่เต้ารับด้วย ยกเว้นว่าเป็นเครื่องใชไฟฟ้าประเภท
2 3.
ดูข้อควรปฏิบัติในการใช้ไฟฟ้าอย่างปลอดภัย |
|
|
|
พัดลมดูดอากาศ |
วิธีใช้พัดลมดูดอากาศให้ประหยัดพลังงานและปลอดภัย |
|
1.ควรปิดพัดลมทุกครั้งเมื่อไม่มีคนอยู่หรือเลิกใช้ 2.ควรเปิดหน้าต่าง
เพื่อใช้ลมธรรมชาติช่วยเทอากาศภายในห้องและหมั่นทำความสะอาดใบพัดและตะแกรง 3.ดูข้อควรปฏิบัติในการใช้ไฟฟ้าหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างปลอดภัย |
|
|
|
|