การต่อลงดิน


      การต่อลงดิน หมายถึงการต่อส่วนของระบบไฟฟ้า หรือส่วนที่เป็นโลหะเข้ากับดิน เพื่อให้ส่วนที่ต่อนั้นมีศักย์ไฟฟ้าเท่ากับดิน

      ประโยชน์ของการต่อลงดิน

             1. ป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับบุคคลที่ไปสัมผัสกับส่วนที่เป็นโลหะ ของอุปกรณ์ไฟฟ้าโดยบังเอิญ ถ้าหากส่วนนั้นมีแรงดันไฟฟ้า เนื่องจากมีกระแสรั่วไหล หรือการเหนี่ยวนำทางไฟฟ้า
             2. ป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับอุปกรณ์ หรือระบบไฟฟ้าเมื่อมีกระแสลัดวงจรลงดิน

      ประเภทของการต่อลงดิน

             1. การต่อลงดินของระบบไฟฟ้า (System grounding)
             2. การต่อลงดินของอุปกรณ์ (Equipment grounding)

      ส่วนประกอบของดิน
      หลักดิน (Grounding Electrode)

      ความจำเป็นของการตรวจหาสภาพดิน

           สิ่งที่มักพบเสมอของสภาพดินคือ บริเวณเดียวกันอาจมีสภาพดินแตกต่างกันมาก จึงต้องตรวจวัดหลายๆ จุด เพื่อให้ได้ข้อมูล ที่ถูกต้องโดยใช้เครื่องวัดความต้านทานดิน ซึ่งมีรายละเอียดวิธีการวัดแตกต่างกันไปตามที่ผู้ผลิตกำหนด โดยกระทำที่ความลึก ไม่เกิน 3 เมตร สำหรับพื้นที่ขนาดใหญ่ควรตรวจวัดสภาพดินอย่างน้อย 10 จุด

      การลดค่าความต้านทานของการต่อลงดิน

           กรณีที่พบว่าค่าความต้านทานของการต่อลงดินสูงกว่าที่กำหนด จำเป็นต้องหาวิธีลดความต้านทานลง อาจใช้วิธีการเพิ่ม ความนำจำเพาะของดินหรือเพิ่มพื้นที่สัมผัสดินของหลักดิน ซึ่งแต่ละวิธีจะมีข้อจำกัดในการใช้งานจึงต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม ในประเทศไทยอุณหภูมิส่วนใหญ่สูงกว่าศูนย์องศา การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิมีผลกระทบไม่มากนัก อาจตัดทิ้งไปได้ ยกเว้นบางสถานที่ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าปกติเช่น ยอดเขาสูง การลดความต้านทานดินทำได้หลายวิธีดังนี้

           1. โดยการปรับปรุงสภาพดิน
           2.
      โดยการปรับปรุงหลักดิน ด้วยการเพิ่มพื้นที่สัมผัสดิน เช่น เปลี่ยนรูปร่าง ขนาด และเพิ่มจำนวนหลักดิน
           3. โดยการเพิ่มความยาวหลักดิน
           4. โดยการเพิ่มขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหลักดิน
           5.โดยการเพิ่มจำนวนหลักดิน

      ที่มา

      คู่มือการออกแบบและติดตั้งระบบไฟฟ้า ผศ. ประสิทธิ์ พิทยพัฒน์ ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
      วารสารโอมห์ แมกกาซีน ฉบับที่ 4, 2001 ลือชัย ทองนิล ผู้อำนวยการกองออกแบบฯ การไฟฟ้านครหลวง

      กลับไปหน้าแรกโฮมเพจออกแบบระบบไฟฟ้า